วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สุดยอดน้ำมนต์ของหลวงปู่คำตัน เนติปาโร


      หลายคนอาจจะแปลกใจที่เห็นรูปถ่ายของหลวงปู่คำตัน เนติปาโร ที่เขาแชร์กันในโลกโซเชียลออนไลน์ ทำไมมีแต่รูปตอนทำน้ำมนต์เยอะแยะมากมายไปหมด เราก็จะมาหาคำตอบกัน มีสิ่งหนึ่งที่เราควรจะรับรู้กันนั้นก็คือ น้ำมนต์ของหลวงปู่คำตันนั้นเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเสริมดวง ปัดเคราะห์ แก้อาถรรพ์ คำสาปแช่ง ของไม่เป็นมงคลทั้งหลายให้มลายหายไป สามารถบรรเทาเคราะห์กรรม ทำให้หมดทุกข์หมดโศก ส่วนมากคนที่ตกปีชง ทำอะไรก็มีแต่อุปสรรค์ มีแต่ปัญหา ทำอะไรก็ไม่ขึ้น หยิบจับอะไรก็เสียหาย ไร้คนช่วยเหลือ มองไปทางไหนก็มืดมน แต่ถ้าได้มาถวายสังฆทานและรดน้ำมนต์กับหลวงปู่ ก็จะสามารถช่วยเสริมชีวิตให้เป็นสิริมงคล บรรเทาอุปสรรค์ มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หมดทุกข์หมดโศก


     ประวัติของหลวงปู่คำตัน เนติปาโรนั้นท่านเป็นบุตรของนายบุญทัน และนางสง ผลาจัทร์ มีพี่น้อง 9 คน หลวงปู่คำตันเป็นพี่ชายคนโต ในจำนวนพี่น้องทั้งหมดมีน้องสาว 1คนที่เหลือเป็นผู้ชายหมด หลวงปู่เป็นคนที่มีความฝักใฝ่ต่อพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก จึงเริ่มบวชตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย จากนั้นก็เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบกำหนด หลวงปู่คำตันเป็นคนที่ชอบศึกษาวิชากรรมฐานมาตั้งแต่เริ่มบวช ถ้าได้ยินว่าที่ไหน มีครูดี มีอาจารย์เก่ง ก็จะไปขอลูกศิษย์ทันที ประกอบกับหลวงปู่คำตันเป็นพระที่เคร่งพระธรรมวินัย สวดมนต์ภาวนาเป็นนิจ แผ่จิตเมตตาเป็นอาจินต์ จึงทำให้หลวงปู่คำตันฝึกจิตให้เป็นสมาธิได้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว เสกมนต์คาถาบทไหนก็มักจะศักสิทธิ์ จนทำให้ญาติโยมเกิดความศัทธา

   หลวงปู่คำตัน เนติปาโรเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดกลางโพธิ์ชัยอำเภอนิคมน้ำอูน จังหวัดสกลนคร ในช่วงนั้นยังไม่มีไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน รถยนต์วิ่งตามถนนยังหายาก แถมยังมีคนเรียนไสยศาสตร์กันเยอะมากและชอบลองของกัน บางคนคุ้มดีคุ้มร้ายก็ปล่อยโหงปล่อยพรายมากหลอกหลอนคนอื่น บางคนควบคุมจิตไม่อยู่ก็กลายเป็นปอปเอง จนเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงก็ร้องไห้ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนเพราะภูติผีมารบกวน หลวงปู่คำตันจึงได้ทำตะกรุดแจกชาวบ้านไว้ห้อยคอเด็กทารก กันปอบ กันผี หลวงปู่คำตันปกติจะชอบปลูกว่าน อย่างเช่น ว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านว่านกวักเงิน ว่านมหาลาภ ว่านมหาโชค เป็นต้น หลวงปู่ก็มักจะขุดเอาหัวว่านที่ปลูกมาตากแห้งแล้วก็เอามาปลุกเสก เสร็จแล้วก็เอาแจกเพื่อเป็นทานแก่ญาติโยมผู้มีจิตศัทธาต่อพระพุทธศาสนาไว้เป็นเครื่องลางของขลัง


หลวงปู่คำตัน เนติปาโร เป็นพระที่ชอบความสงบ นั่งสมาธิภาวนาตลอดวันรับแขกบางเวลา ปัจจุบันจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำพุง อำเภอนิคมน้ำอูน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นสถานที่อันร่มรื่นวิเวกด้วยแมกไม้ยืนต้น ชาวบ้านญาติโยมชาวอำเภอนิคมน้ำอูน ก็มักเดินทางมาเยี่ยมเยือนหลวงปู่บางครั้งก็ถวายสังฆทานบ้าง บางครั้งก็มาขอรดน้ำมนต์บ้าง ในตอนที่หลวงปู่ตั้งจิตบริกรรมคาถาเสกน้ำมนต์นั้นญาติโยมก็มักจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก จึงได้ภาพหลวงปู่ตอนทำน้ำมนต์แชร์ต่อๆกันมาในโลกออนไลน์ จนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของหลวงปู่มาจนถึงทุกวันนี้

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คาถากันผีของหลวงปู่คำตัน เนติปาโร


    ในชีวิตวัยเด็กของผมมีความทรงจำครั้งเก่ามากมายหลายเรื่องราว อาจเศร้าบางสนุกบ้างไปตามประสาแบบเด็กๆ ครั้งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2517 บ้านของผมเมื่อก่อนอยู่ที่ผัง 10 บ้านโนนเซียงไพ อำเภอนิคมน้ำอูน สมัยนั้นยังเป็น กิ่ง.อำเภอนิคมน้ำอูน ถ้าจำไม่ผิดเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนั้นน่าจะเป็นชื่อตำบลนาใน ยุคนั้นยังไม่มีไฟฟ้ายังไม่มีน้ำปะปา ยังไมมีถนน รพช. สมัยนั้นยังเป็นยุคคอมมิวนิสเต็มบ้านเต็มเมือง เดินไปทางไหนก็มีแต่ทหารกับ อส. ทางเข้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านก็จะมีด่านเกือบทุกจุด วันดีคืนดีก็จะได้ยินเสียงปืนดังถี่บ้าง ดังประปรายบ้างตามป่าตามภูเขา แต่ก็เป็นเรื่องปกติของชาวอำเภอนิคมน้ำอูน เพราะก่อนหน้านั้นก็ได้มีเหตุการคอมมิวนิสต์เข้ามาเผาทำลายที่ว่าการกิ่งอำเภอนิคมน้ำอูน จนทำให้ผู้ครองตาย ได้ข่าวว่าขณะที่ยิงต่อสู้กันผู้ครองได้ลงไปหลบอยู่ในแท้งค์น้ำสี่เหลี่ยมที่ใช้เก็บน้ำฝนแล้วออกมาไม่ได้เพราะขณะนั้นยังมีการยิงต่อสู้กันอยู่พร้อมทั้งเผาอาคารบ้านพักด้วย(ผู้ครอง แปลว่าอะไรผมก็ไม่รู้แต่น่าจะเป็นตำแหน่งนายอำเภอ เพราะชาวบ้านสมัยนั้นจะเรียกกันติดปากว่าผู้ครอง)

   ดังนั้นวัดใกล้บ้านก็จะเป็นศูนย์ฝึก ทสป.(แปลว่าอะไรไม่รู้แต่ได้ยินเขาเรียกว่า ทสป.) การฝึก ทสป. นั้นจะมีทหารเข้ามาฝึกโดยจะให้หนุ่มสาวในหมู่บ้านมาฝึกใช้อาวุธและการต่อสู้ ดูเขาฝึกแล้วคล้ายๆฝึกทหาร จากนั้นก็ให้จัดเวรยามรักษาหมู่บ้านตามทางเข้าหมู่บ้าน บางชุดก็เดินลาดตะเวนตามหมู่บ้านอาวุธประจำกายของ ทสป. คือปืนลูกซอง  ที่เป็นของราชการมาแจก

    วัดกลางโพธิ์ชัยเป็นวัดที่ใกล้บ้านผมมากที่สุดในช่วงนั้นก็จะมีการฝึก ทสป. กันผมและเพื่อนๆก็ชอบไปนั้นดู ขณะที่นั้นดูเขาฝึกก็มักจะขว้างก้อนหินใส่แย้ เพราะในลานวัดจะมีตัวแย้เยอะมากด้วยความเป็นเด็กก็เล่นสนุกไปตามประสาพากันจับไม้ไปไล่ตีแย้กันอย่างสนุกสนาน จนมีพระรูปนึงถือแส้หวายเดินเข้ามาพร้อมตะหวาดแล้วก็ให้เพื่อนๆรวมทั้งผมยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันแล้วก็สอนเรื่องบาปบุญจากนั้นก็เฆี่ยนที่ขาคนละทีจนทำให้ผมเจ็บแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว หลังจากพระรูปนั้นเดินจากไปผมเลยเพื่อนว่าพระรูปนั้นเขาเป็นใคร ก็ได้คำตอบมาว่า “ท่านชื่อญ่าครูตัน เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางโพธิ์ชัยนี้”


    ตั้งแต่นั้นมาชื่อญ่าครูตันก็เริ่มเป็นที่คุ้นหูแล้วก็คุ้นเคยในที่สุดเพราะสถานที่วิ่งเล่นของผมกับเพื่อนๆก็มักจะเป็นลานวัดแห่งนั้น บ่อยครั้งที่ญ่าครูตันจะเอาขนมและผลไม้มาแจกเด็กๆที่วิ่งเล่น พวกผมก็อิ่มหนําสําราญไปตามๆกันก่อนจะแยกย้ายกันกับบ้าน

   เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีคลองส่งน้ำชลประทานการทำไร่ทำนาของชาวบ้านก็จะต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียวปีไหนฝนดีข้าวกล้าไร่นาก็อุดมสมบูรณ์ ปีไหนฝนแล้งข้าวกล้าไร่นาแห้งตา ทำให้บางบ้านบางครอบครัวข้าวไม่พอกินจำเป็นต้องอาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงปู่อยู่เสมอ เด็กๆที่ไม่มีอุปกรณ์การเรียนจำพวกสมุดดินสอ หลวงปู่ก็จะเอาสมุดดินสอจากต้นกัณฑ์ที่ญาติโยมทำมาถวายนำมาแจกเด็กๆที่ขาดแคลนเป็นประจำ

   อยู่มาวันหนึ่งมีเหตุการณ์คนในหมู่บ้านเสียชีวิต เมื่อมีคนตายก็จะมีการตั้งศพบำเพ็ญกุศลไว้ที่บ้านผู้ตายและติดเครื่องไฟเปิดธรณีกันแสงทำให้ได้ยินแล้วขนลึกขนพอง ตามธรรมเนียมแล้วถ้ามีคนตายก็จะมีการบวชจูงหรือเรียกอีกอย่างว่าบวชหน้าไฟ คือการบรรพชาสามเณรที่นิยมบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย โดยปรกติการบวชหน้าไฟมักจะบวชกันในวันเผาศพ โดยเมื่อทำพิธีฌาปนกิจเสร็จก็มักจะสึก


   ในครั้งนี้ผมก็ได้บวชกับเขาด้วยเพราะโดนพ่อบังคับก็เลยบวชแบบจำใจ มีคนที่บวชหน้าไฟทั้งหมด 5 คน วันนั้นพอได้เวลาฌาปณกิจศพก็จะมีการเปิดธรณีกันแสงและนำศพไปที่วัด เณรที่บวชหน้าไฟก็จะทำหน้าที่จูงศพคนตายโดยมีญ่าครูตันเดิมนำหน้า พอไปถึงวัดก็จะพาเดินรอบกองฟอนหรือเรียกอีกอย่างว่าเชิงตะกอน 3 รอบ กองฟอนจะใช้ไม้ตัดเป็นท่อนๆทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมเอาไว้วางศพคนตายส่วนมากจะตั้งกันที่ลานกลางแจ้ง ก่อนจะยกศพขึ้นกองฟอนก็จะเปิดโลงศพเพื่อล้างหน้าศพและให้ญาติๆดูหน้าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ทำการทอดผ้าบังสุกุล สมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาศพ หากมีการเผ่าศพก็จะเผากันกลางแจ้งเลย เมื่อวางดอกไม้จันทน์เสร็จ อส. ก็จะยิงปืนคาร์บินขึ้นฟ้า 3 นัด เสียงจะดังมากจนทำให้ผู้ร่วมงานตกใจกันเลยทีเดียว จากนั้นก็ทำการจุดไฟเผากองฟอน ความร้อนจากกองฟอนเริ่มร้อนแรงขึ้นจนผู้คนเริ่มถอยออกห่าง ไฟเริ่มลุกไหม้ผ้าคลุมศพ จนมองเห็นศพได้ชัดเจนเป็นภาพติดตาติดใจเหลือเกินทำให้ผมเริ่มใจสั่นๆและน้ำตาเริ่มซึมออกมาเพราะรู้สึกเศร้าใจ ทันใดนั้นก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดจนทำให้ผมกลัวจนถึงขั้วหัวใจ เพราะศพที่กำลังถูกเผานั้นลุกขึ้นมานั้งได้ ผมและเณรที่บวชด้วยกันรีบกระโจนออกมาให้ไกลจากกองฟอนแล้วไปหลบอยู่หลังญ่าครูตันทันทีต่างคนต่างเนื้อตัวสั่นไปหมด จากนั้นชาวบ้านก็ตะโกนบอกกันว่า "ศพงอตัวช่วยกันเอาไม้ไปทับให้นอนลงหน่อยเร็ว" แล้วชาวบ้านก็ช่วยกันเอาไม้ท่อนใหญ่ๆไปทับไว้เพื่อให้ศพนอนลงเหมือนเดิม มันช่างเป็นอะไรที่ผมไม่เคยลืมเลือนจนทุกวันนี้เลย


   จากนั้นเณรที่บวชหน้าไฟก็พากันกลับมาที่ศาลาวัดเพื่อจะรอการสึก ขณะที่รอนั้นเณรทุกรูปก็ต่างพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พอยิ่งพูดถึงก็ยิ่งขนลุก ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากสึกและกลับบ้านไวๆ แต่วันนั้นผิดความคาดหมายจริงๆ เพราะเจ้าภาพงานศพและญาติผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่ยอมให้สึกด้วยเหตุผลว่า "ให้รอเก็บกระดูกและทำบุญตอนเช้าเสียก่อน เพื่อที่ผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค" สรุปแล้วเณรที่บวชหน้าไฟทั้งหมดก็ยังไม่ได้สึก เพราะหากรูปใดรูปหนึ่งได้สึก รูปอื่นก็อยากสึกตามกัน ดังนั้นเณรทุกรูปก็ต้องนอนที่วัดอยู่เป็นเพื่อกัน โดยมีการจัดให้นอนที่หอระฆัง 3 รูป และนอนที่ศาลา 2 รูป ผมไม่รอช้าเลือกนอนหอระฆังเพราะมีเพื่อนเยอะกว่ายังไงก็ยังดีกว่านอน 2 คนแต่ข้อเสียคือที่มันแคบกว่า แต่ถ้านอนที่ศาลามีเพื่อนน้อยกว่าแต่ได้นอนใกล้พระประธานซึ่งเณรบางรูปเชื่อว่าผีไม่กล้าเข้าใกล้แน่นอน


    พอได้เวลาโพล้เพล้เณรทุกรูปก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมเข้านอนกัน ก่อนเข้านอนก็ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ดับเทียนนอน เพราะคินว่ารีบนอนจะได้รีบผ่านพ้นคืนนี้ให้ไปไวๆ เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีไฟฟ้ายังตะเกียงกับเทียนกันอยู่ ผู้คนก็นอนหัวค่ำกันเพราะไม่มีทีวีดู พอเริ่มมืดเสียงหรีดหริ่งเรไรก็เริ่มดัง  หิ่งห้อยก็เริ่มบินส่องแสง สายลมก็เริ่มพัดเบาบ้าง หนักบ้างตามจังหวะ แต่คืนนั้นผมยังไม่อาจข่มตาหลับได้เพราะภาพเมื่อกลางวันมันช่างติดตาติดใจเหลือเกิน สักพักก็มีหมาเริ่มหอนเย็นยะเยือกจากในหมู่บ้าน หอนรับกันแบบเป็นทอดๆเหมือนกำลังต้อนรับใครสักคน หอระที่ผมนอนนั้นจะเป็นหอระฆังไม้ข้างบนจะมีไม้ฝากั้นและมีลูกกรงไม้สูงขึ้นจนสามารถมองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน ใกล้หอระฆังนั้นจะมีต้นมะม่วงอยู่สองต้น ขณะนอนอยู่ก็จะเห็นเงากิ่งต้นมะม่วงไหวไปไหวมาตามแรงลม ดูๆแล้วเหมือใครกำลังกวักมือเรียกอยู่ เสียงลมพัดกิ่งมะม่วงดังคล้ายๆ ใครกำลังพูดคุยกันฟังแล้วสุดจินตนาการเหลือเกิน หมาเริ่มหอบเข้ามาเขตบริเวรวัด ผมขนลุกซู่จึงรีบเอาจีวรคุมหัว เราทุกคนต่างเงียบกริบแทบจะไม่มีใครขยับตัวพอสักพักก็รู้สึกมีเสียงฝีเท้าใครกำลังเดินอยู่ใกล้ๆหอระฆัง แล้วเดินขึ้นบันไดมา ทันใดนั้นก็มีเสียงตีบันได ปั้งๆ และมีเสียงพูดขึ้นว่า”เณรนอนรึยัง” พอได้ยินเสียงเท่านั้นแหละทุกคนก็รีบลึกขึ้นมางมหาไม้ขีดกับเทียนเป็นการใหญ่เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงญ่าครูตัน เหมือนกับว่าญ่าครูตันท่านรู้ว่าพวกเณรกลัวก็เลยขึ้นมานั่งพูดคุยให้เณรใหม่หายกลัว เมื่อพูดคุยได้สักพักก็กลับกุฎิ ก่อนจะกลับกุฏิท่านได้บอกว่าถ้ากลัวผีให้ท่องคาถานี้นะ จากนั้นก็ท่องให้ฟัง 3 รอบแล้วเดินจากไปแบบไม่หันหลังมาสนใจเลย คาถาที่ท่องให้ฟังนั้นมีอยู่ว่า

พุทโธ อะระหัง พุทธังรักษา
ธัมโม อะระหัง ธัมมังรักษา
สังโฆ อะระหัง สังฆังรักษา

   ผมกับเพื่อที่บวชเณรด้วยกันจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็พยายามช่วยกันจำ จนในที่สุดก็ท่องกันได้อย่างแม่นยำและนอนหลับตาท่องเบาๆเณรรูปอื่นก็ทำท่องประสานเสียงกันไป มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงเสียงหมาหอนเริ่มเงียบหายไป ลมที่พัดกิ่งก้านมะม่วงก็เบาลงเหลือเพียงแผ่วๆพอให้เย็นสบาย จนเณรเคลิ้มหลับไปตามๆกันมารู้สึกตัวอีกทีก็สว่างพอดี โอ!..นี้มันช่างเหลือเชื่อจริง ในที่สุดก็รอดจากคืนทีน่ากลัวนั้นไปได้ หลังจากสึกแล้วผมก็ยังใช้คาถาบทนี้อยู่เสมอ

   ปัจจุบันนี้คาถาบทนี้ยังช่วยผมหลายครั้งหลายคาให้รอดพ้นจากวิญญาณร้าย และสามารถเป็นใช้ถอนมนต์ดำ คุณไสยได้อีกด้วย ขอขอบคุณหลวงปู่คำตัน เนติปาโร ที่ได้สอนคาถาบทนี้เพื่อเป็นทานให้ผมในครั้งนั้น ผมขอน้อมประพฤติตนเป็นคนดีเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาตลอดไป

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ตะกรุดโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง

     

     ตะกรุดที่ถือว่าเป็นสุดยอดที่ผู้ฅนเสาะหากันมากและมีราคาสูง ต้องยกให้ตะกรุดของ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พระเถราจารย์ยุคเก่าผู้มีพลังจิตแก่กล้าเป็นผู้สร้างไว้ หลวงปู่เอี่ยมนับเป็นอาจารย์ใหญ่ของเมืองปากเกร็ดที่ผู้ฅนเคารพนับถือสืบมาตราบจนปัจจุบัน หลวงปู่เอี่ยมท่านเป็นพระร่วมยุคกับสมเด็จโต วัดระฆัง

เป็นที่เล่าสืบมาว่าหลวงปู่เอี่ยมท่านชอบธุดงค์ไปตามป่าเขาห่างไกล ท่านออกธุดงค์หายไปนานหลายสิบปี จนญาติโยมเข้าใจว่าท่านมรณภาพไปแล้วจึงได้ทำบุญกรวดน้ำอุทิศกุศลถวายแด่ท่าน หลวงปู่เอี่ยมท่านทราบจึงได้เดินทางกลับมายังวัดสะพานสูง ว่ากันว่าเวลานั้นเมื่อท่านกลับมาผมและหนวดเคราท่านยาวรุงรัง เมื่อญาติโยมเห็นท่านกลับมาต่างก็ดีใจ นิมนต์ขอให้ท่านก็อยู่วัดสะพานสูงอย่าได้ออกธุดงค์อีกเลย หลวงปู่เอี่ยมท่านเคยสร้างวัตถุมงคลมอบให้แก่ศิษย์ ซึ่งเชื่อถือว่าเป็นของดีมาก คือ ตะกรุดมหาโสฬสมงคล



การสร้างตะกรุดมหาโสฬสมงคล 
ตะกรุดโสฬสมงคลของหลวงปู่เอี่ยมสร้างขึ้นแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
1.ลงยันต์บนแผ่นโลหะแล้วม้วนแบบตะกรุดเปลือย
2.ลงยันต์แล้วม้วนนำมาถักด้วยด้ายสายสิญจน์ทับอีกที
3.ลงยันต์แล้วม้วนนำมาถักด้วยด้ายสายสิญจน์ แล้วนำมาพอกด้วยผงพุทธคุณตามตำราของท่าน

เนื้อโลหะที่นำมาใช้ทำตะกรุดโดยทั่วไปมีทั้ง ทองคำ, เงิน, ตะกั่ว, ทองแดง, ทองเหลือง แล้วแต่มีผู้นำโลหะชนิดใดไปขอให้ท่านช่วยลงทำตะกรุด ตามตำราระบุว่าตอนที่วางตะกรุดต้องว่าคาถา "มาโขมังขุ อะโหสิ"

ส่วนตะกรุดชนิดมาตรฐานทำด้วยทองแดง ซึ่งทางวัดออกเพื่อหาทุนสร้างเจดีย์ โดยตั้งค่ากำนัลไว้ดอกละ 1 ตำลึง หรือ 4 บาท หรือนำทราย หรือนำอิฐ หรือหิน 1 ลำเรือสำปั่นมาถวายร่วมสร้าง จะได้รับตะกรุดนี้เป็นรางวัล โดยมีขนาดเท่าม้วนบุหรี่กาแร็ต (ยาวราว 4 นิ้ว) ตะกรุดชนิดนี้จะกักด้วยด้ายสายสิญจน์ ส่วนหัวและท้ายตะกรุดเมื่อม้วนแล้วจะยื่นเป็น "ก้นแมลงสาป มักถักเป็นลาย 4 เกลียว และ 5 เกลียว" แล้วทารักที่ผสมด้วยชาด ผงพุทธคุณ ผงสมุนไพรตากให้แห้งบดเป็นผงนำมาผสมรวมลงไป 

หลวงปู่เอี่ยมมักลงตะกรุดในวันข้างขึ้น 5 ค่ำ หรือวันข้างแรม 5 ค่ำ ที่ตรงกับวันพฤหัสบดี เหตุนี้นักเลงเครื่องรางแต่โบราณจึงมักเรียกติดปากว่า "พฤหัสห้า" ยันต์ที่ใช้ลงด้านในเป็นพระยันต์มหาโสฬสมงคล ส่วนด้านนอกลงด้วยพระยันต์ไตรสรณาคมน์ ซึ่งด้านในที่ลงยันต์มหาโสฬสมงคล จะล้อมรอบด้วยพระคาถาบารมี 30 ทัศน์ ตามตำราระบุว่าต้องปลุกเสกด้วยคาถาโองการมหาทมื่นบทใหญ่ หนึ่งหมื่นจบ ต้องปลุกเสกทุกวันติดต่อกันจนครบตามตำราจึงใช้ได้ นับว่ายากเย็นมากต้องใช้ความมานะอดทนอย่างสูงทีเดียว


วิธีอาราธนา ตะกรุดมหาโสฬสมงคล เมื่อจะนำติดตัว
1. ตั้งนะโม 3 จบ
2. สวดมนต์ ไตรสรณาคมน์ 
3. สวดบทพุทธคุณ ธัมมะคุณ สังฆะคุณ 

คาถาอัญเชิญตะกรุด
อิติปิโสภะคะวา ข้า (ออกชื่อ.......ตัวเรา) ขออาราธนา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆะคุณ คุณบิดา คุณมารดา คุณครูปริยายทั้งหลาย คุณเทพเจ้าที่ติดอยู่ในตะกรุด ขออัญเชิญคุ้มเกรงตัวข้าพเจ้าด้วย เอหิพุทธัง เอหิธรรมมัง เอหิสังฆัง นะมะพะทะ นะมะพะทะ

จากนั้นเอื้อมมือจับตะกรุดแล้ว่าคาถา 
"โอมส่งมหาส่ง อะเกียด อะกงสวาหะ" 

เมื่อจะนำตะกรุดมาคาดเอวหรืสวมคอให้ว่าคาถา 
"อะหัง ปริสุทโธ ชะนาปริสุทโธ อธิษฐามิ"
หากอาราธนาตะกรุดตามตำรา วัดสะพานสูง จะยิ่งเพิ่มความขลังวิเศษยิ่งขึ้นไป ตำรานี้ท่านสั่งสอบสืบกันมาช้านาน

อภินิหารตะกรุดสยบอาวุธ 
อภินิหารตะกรุดของหลวงปู่เอี่ยมเป็นที่ประจักษ์อย่างมาก ในคราวที่เสือเพี้ยน กับเสือผาด แก้วสนธิ ที่ถูกตำรวจรุมยิง ปรากฏว่าลูกกระสุนของตำรวจเมื่อพุ่งตรงมายังร่างของเสือทั้งสอง ปรากฏว่าลูกกระสุนปืนตกลงคล้ายมีฉากที่มองไม่เห็นมากางกั้นไว้ โดยหัวลูกกระสุนตกอยู่รอบตัวเสือทั้งสองห่างราว 1 วา ไม่มีหัวกระสุนใดผ่านเข้ามาต้องกายได้เลย เรื่องราวนี้ชาวบ้านปากเกร็ดยุคเก่าเล่าสืบกันมา และอีกเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็คือ 

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2515 คุณสมควร ศิริธนาภิรมย์ แห่งร้านมิตรชาย ตลาดปากเกร็ด นนทบุรี ถูกเพื่อนซึ่งนำเอาปืนขนาด .22 แม๊กนั่ม นำมาขายให้คุณสมควร ไม่ทราบด้วยเหตุผลประการใด เพื่อนผู้นั้นได้ทำกระสุนปืนลั่นไปถูกท้องน้อย โดยกระสุนผ่านเสื้อและกางเกงทะลุไปตุงอยู่ที่ท้องน้อย ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นรอยไหม้เกรียมเป็นทาง วันนั้นในเอวคุณสมควรมีตะกรุดคาดเอวเพียงดอกเดียว คือ ตะกรุดมหาโสฬสมงคล ภายหลังมีผู้มาขอเช่าต่อจากคุณสมควร แต่คุณสมควรไม่ยอมขายเพราะนับถือมาก

ตะกรุดมหาโสฬสมงคลนี้ใช่ว่ามีคุณทางกันอาวุธเพียงเท่านั้น ตะกรุดนี้ยังมีคุณทางคุ้มครองและขับไล่ ภูตผีปีศาจยำเกรงยิ่งนัก แม้นเทพเทวดายังยำเกรงไม่กว่ากล้ำกลายมารบกวน ผีเจ้าเข้าสิงหาพบผู้มีตะกรุดมหาโสฬสมงคลพกติดตัวอยู่ ผีเจ้าเข้าสิงนั้นจะออกจากร่างทันทีชนิดที่ไม่ต้องทำพิธีไล่แต่อย่างใด สมัยก่อนหลวงปู่เอี่ยมเคยสั่งศิษย์ไว้ว่าหากพกตะกรุด หรือวัตถุมงคลของท่านอยู่กับตัว ห้ามกินเครื่องเซ่นไหว้ผีสางเด็ดขาด 

ห้ามเข้าไปเซ่นไหว้ศาลผีเจ้าต่าง ๆ เพราะเมื่อผู้พกตะกรุดเข้าไปในอาณาเขต พวกวิญญาณเจ้าและผีสางต่าง ๆ จะเดือดร้อนต้องหลีกหนีทันทีด้วยอำนาจพุทธคุณ และพลังจิตที่สถิตอยู่ในวัตถุมงคลเหล่านั้น หากกล่าวไปตะกรุดมหาโสฬสมงคลเปรียบประหนึ่ง "ยาครอบจักวาล" เรียกว่ามีคุณสูงส่งไม่ว่าบูชากับตัวหรือบูชาไว้ในบ้านเรือน สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้เช่น กันไปกันฟ้า, กันอุบาทว์จัญไร ทำน้ำมนต์อาบรดเสริมสิริมงคลได้เป็นอย่างดี นี้คืออานุภาพเพียงเสี้ยวหนึ่งของตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง